มารยาทไทย
    จุดประสงค์การเรียนรู้ 
1. อธิบายความหมายและความสำคัญของมารยาทไทยได้ 
2. ปฏิบัติตนตามมารยาทไทยได้ถูกต้องเหมาะสม

ความหมายและความสำคัญของมารยาทไทย

          มารยาท  หมายถึง กิริยา วาจาที่สุภาพเรียบร้อย  ที่บุคคลพึงปฏิบัติในสังคม  โดยมีระเบียบแบบแผนอันเหมาะสมตามกาลเทศะ   มารยาทไทยถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของคนไทย  เป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา  การปฏิบัติตนตามมารยาทไทยส่งผลให้สังคมเกิดความสงบสุขและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย


มารยาทของสังคมไทย

          คนไทยได้สืบทอดมารยาทไทยที่ดีงามมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  การแสดงมารยาทไทยให้เหมาะสมกับกาลเทศะถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ  ทั้งนี้นอกจากจะทำให้มารยาทไทยที่ดีงามยังคงดำรงอยู่ต่อไปแล้ว  ยังทำให้ต่างชาติได้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีอารยธรรมของไทยอีกด้วย  มารยาทไทยที่สำคัญ  ได้แก่



การแสดงความเคารพ

          การแสดงความเคารพ มีหลายลักษณะ  เช่น  การไหว้  การกราบ  การคำนับ  การแสดงความเคารพจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ที่จะรับการเคารพด้วยว่าอยู่ในฐานะใด  และอยู่ในโอกาสใด  จึงจะแสดงความเคารพให้เหมาะสม

          1. การแสดงความเคารพพระรัตนตรัย  ปฏิบัติโดยการไหว้หรือกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ตามความเหมาะสมของสถานที่
               1.1 การไหว้  คือ การกระ พุ่มมือเล็กน้อยไห้ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างชิดกัน  ฝ่ามือทั้งสองประกบเสมอกันแนบระหว่างอก  ปลายนิ้วเฉียงขึ้นประมาณ  45 องศา  แขนแนบลำตัวไม่กางศอก   แล้วยกมือขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงระดับสะเอวให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว  ปลายนิ้วชี้แนบส่วนบนของหน้าผาก

การไหว้พระ

               1.2 การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์  คือ  การใช้อวัยวะทั้ง  5 ได้แก่ หน้าผาก 1 มือและข้อศอกทั้ง 2  และเข่าทั้ง  2  สัมผัสกับพื้น  การกราบมี  3  จังหวะ  ดังนี้
                      1.2.1 ท่าเตรียม  ชายและหญิงแตกต่างกัน
                                ชาย  ให้นั่งท่าเทพบุตร  คือ  นั่งคุกเข่าตัวตรง  ปลายเท้าตั้ง  ส้นเท้าและปลายเท้าชิดกัน  นั่งทับบนส้นเท้า  เข่าทั้งสองห่างกันพอประมาณ  มือทั้งสองวางคว่ำเหนือเข่าทั้งสองข้างนิ้วชิดกัน
                                หญิง  ให้นั่งท่าเทพธิดา  คือ  นั่งคุกเข่าตัวตรงปลายเท้าราบ  เข่าถึงปลายเท้าชิดกันราบไปกับพื้น  นั่งบนส้นเท้า   มือทั้งสองวางคว่ำเหนือเข่าทั้งสองข้างนิ้วชิดกัน   
                      1.2.2 ท่ากราบ  มีอยู่  3 จังหวะ
                                จังหวะที่ 1 (อัญชลี)  ชายและหญิงยกมือขึ้นประนมมือไว้ระหว่างอก  ปลายนิ้วชิดกันตั้งแนบตัวไม่กางศอก   ปลายมือเบนจากอกไปข้างหน้า  45 องศา
                                จังหวะที 2 (วันทนา หรือ วันทา)  ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน  คือ  ไหว้  ยกมือที่ประนมขึ้น  พร้อมกับก้มศีรษะลงรับมือเล็กน้อยโดยให้ปลายนิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ระหว่างคิ้ว  ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผาก
                                จังหวะที่ 3 (อภิวาท) ทอดมือทั้งสองลงพร้อมๆ กัน ให้มือและแขนทั้งสองข้างราบกับพื้น  คว่ำมือห่างกันเล็กน้อย  พอให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือทั้งสอง
                                                ชาย  ศอกทั้งสองข้างต่อจากเข่าราบไปกับพื้น  หลังไม่โก่ง
                                                หญิง ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย  ราบไปกับพื้น  หลังไม่โก่ง
                       1.2.3 ท่าจบ  เมื่อกราบอย่างเบญจางคประดิษฐ์  3  ครั้งแล้ว ทั้งชายและหญิงให้ยกมือขึ้นประนมไหว้ในท่าวันทา คือ นิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว  ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผากพร้อมกับก้มศีรษะลงรับมือเล็กน้อย แล้ววางมือคว่ำเหนือเข่าทั้งสองข้างในท่าเตรียมกราบ

การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์


          2. การแสดงความเคารพต่อบุคคล   ปฏิบัติดังนี้
               2.1 การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ  ได้แก่  พ่อ แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ครู  และผู้ที่เคารพนับถือ  ให้ประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก  ปลายนิ้วชี้แนบระหว่างคิ้ว

การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้ใหญ่

               2.2 การไหว้บุคคลทั่วไปที่เคารพนับถือหรือผู้ที่มีอายุมากกว่าเล็กน้อย  ให้ประนมมือ  แล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลง  ให้หัวแม่มือจรดปลายคาง  ปลายนิ้วชี้แนบปลายจมูก

การไหว้บุคคลทั่วไปที่เคารพนับถือหรือผู้ที่มีอายุมากกว่าเล็กน้อย

               2.3 การกราบผู้ใหญ่ เป็นการกราบผูมีพระคุณและผู้ที่มีอายุมาก เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพ ผู้กราบทั้งชายและหญิงให้นั่งพับเพียบทอดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกัน  ให้แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว  มือประนมตั้งกับพื้นไม่แบบมือ  ค้อมตัวลงให้หน้าผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม  ในขณะกราบไม่กระดกนิ้วมือขึ้นรับหน้าผาก  กราบเพียงครั้งเดียว  จากนั้นเปลี่ยนอิริยาบถโดยการนั่งสำรวมประสานมือ  แล้วเดินเข่าถอยหลังพอประมาณจึงลุกขึ้น



การยืน

          1. การยืนสนทนากับผู้ใหญ่  ให้ยืนตรง  เท้าชิด  ประสานมือกันอยู่ต่ำกว่าระดับเอว  ค้อมตัวเล็กน้อย  ไม่ควรยืนชิดหรือห่างผู้ใหญ่จนเกินไป

       ยืนตรงรับคำสั่ง         การยืนสนทนากับผู้ใหญ่

          2. การยืนเคารพธงชาติและเพลงชาติ  ให้ยืนตรงแสดงความเคารพโดยหันหน้าไปทางธงชาติ  เมื่อเพลงจบให้ค้อมศีรษะคำนับ



การเดิน

          1. การเดินตามลำพัง  ให้เดินอย่างสุภาพ  หลังตรง ก้าวเท้าไม่ยาวไม่สั้นเกินไป  ควรแกว่งแขนแต่พองาม  ไม่เดินลงส้นให้เสียงดัง  ถ้าเดินผ่านหน้าผู้ใหญ่ที่กำลังยืนอยู่  ควรปล่อยมือไว้ข้างลำตัวและค้อมตัวลงเมื่อใกล้ถึงผู้ใหญ่
          2. การเดินกับผู้ใหญ่ ให้เดินทางซ้ายเยื้องมาทางหลังของผู้ใหญ่  อยู่ในลักษณะนอบน้อมไม่ส่ายตัว ไม่โยกศีรษะ  ถ้าเป็นการเดินระยะใกล้ๆ มือทั้งสองควรประสานกัน

การเดินกับผู้ใหญ่



การนั่ง

          1. การนั่งเก้าอี้   ให้นั่งตัวตรง  ด้วยกิริยาสำรวม  หลังพิงพนักเก้าอี้  เท้าวางชิดกัน  เข่าแนบชิดกัน  มือทั้งสองวางบนหน้าขา  ถ้าเป็นเก้าอี้ท้าวแขน  เมื่อนั่งตามลำพังจะเอาแขนพาดบนท้าวแขนก็ได้  ในกรณีนั่งเก้าอี้ต่อหน้าผู้ใหญ่  ให้น้อมตัวลงเงยหน้าเล็กน้อย  มือทั้งสองข้างประสานกันวางบนหน้าขา

                                                              การนั่งเก้าอี้ต่อหน้าผู้ใหญ่     การนั่งเก้าอี้ในพิธีการ

          2. การนั่งพับเพียบ  ให้นั่งในลักษณะสุภาพ  ตัวตรง  เก็บปลายเท้าโดยเบนปลายเท้าเข้าหาสะโพก  มือทั้งสองข้างประสานกัน  วางไว้บนหน้าขา ขาขวาทับขาซ้าย  วางมือที่ประสานบนหน้าขาซ้าย 
               วิธีประสานมือ  ให้ปฏิบัติในอาการสำรวม  อาจใช้อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
                -  ใช้มือซ้ายหงาย  มือขวาคว่ำทับ  หรือมือขวาหงายมือซ้ายคว่ำทับ
                -  ใช้มือทั้งสองคว่ำทับกัน  จะเป็นมือใดทับมือใดก็ได้
                -   สอดนิ้วระหว่างช่องนิ้วของแต่ละมือคล้ายการประนมมืออย่างหลวมๆ
          3. การนั่งคุกเข่า ให้นั่งตัวตรง วางก้นบนส้นเท้าปลายเท้าตั้ง  มือทั้งสองประสานกัน หรือจะวางคว่ำบนหน้าขาก็ได้



การนอน

          การนอน เป็นเรื่องส่วนตัวเป็นการพักผ่อนร่างกาย  ไม่มีพิธีการหรือระเบียบ  แต่ควรคำนึงถึงความปลอดภัย   
          1. การนอนหงาย  นอนตัวตรง  ศีรษะหนุนหมอนให้สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย  หรือพอประมาณ  เท้าและขาทั้งสองชิดกัน  มือทั้งสองข้างวางไว้ใต้หน้าอกเล็กน้อย  หรือวางมือและแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว  ปล่อยลักษณะผ่อนคลาย
          2. การนอนแบบตะแคง  นิยมให้นอนตะแคงขวา มือขวาหนุนศีรษะ  มือซ้ายแนบลำตัวส่วนบน  เท้าทั้งสองเหยียดตรง  โดยเท้าซ้ายทับเท้าขวา  เป็นการนอนลักษณะของพระพุทธเจ้าที่ทรงเจริญสติ  ทำให้มีสติในการนอน 
          กรณีนอนกับผู้ใหญ่  เช่น  บิดา  มารดา  ควรนอนให้ศีรษะต่ำกว่าท่าน  ไม่ควรนอนเสมอกัน  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพท่าน



การรับของ - ส่งของ

          การรับของจากผู้ใหญ่และการส่งของให้ผู้ใหญ่ของที่จะรับหรือส่ง มี 2 ลักษณะคือ ของหนักและของเบา ของหนักให้ถือสองมือ ของเบาให้ถือมือเดียว โดยถือด้วยมือขวา มือซ้ายปล่อยข้างตัวของที่จะรับหรือส่งควรถือตามขวาง ถ้าเป็นสมุดหรือหนังสือควรหันทางสันออกนอกตัว

          1. การรับสิ่งของ
               1.1 การรับสิ่งของขณะผู้ใหญ่ยืน  ผู้ชายเดินเข้าไปห่างจาก ผู้ใหญ่พอประมาณ  ยืนตรงไหว้ 1 ครั้ง  ตามระดับของผู้ส่งสิ่งของ  ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า  เปิดส้นเท้าซ้าย รับสิ่งของ ภอยเท้าขวากลับ ยืนตรง ถอยหลังพอประมาณแล้วหันหลังกลับ อีกแบบหนึ่ง  เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ ยืนตรงคำนับ  ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า  เปิดส้นเท้าซ้าย  โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย รับสิ่งของด้วยมือขวา มือซ้ายแนบลำตัว  แล้วถอยเท้าขวากลับ ยืนตรงคำนับอีก  1 ครั้ง  ถอยพอประมาณแล้วหันหลังกลับ ผู้หญิงเดิน เข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ  ไหว้ตามระดับของผู้ส่งสิ่งของ  ห้าวเท้าขวาไปข้างหนาย่อตัวรับสิ่งของ แล้วก้าวเท้าขวา  ยืนตรง  ถอยพอประมาณ จึงหันหลังกลับ
               1.2 การรับสิ่งของขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้   ผู้ชายเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณยืนตรง คำนับ  ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า ลงเข่าซ้าย รับสิ่งของด้วยมือ มือซ้ายแนบลำตัว ถอยเท้าขวากลับ ยืนตรง คำนับอีก  1  ครั้ง ถอยพอประมาณ จึงหันหลังกลับ  อีกแบบหนึ่ง  เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ ยืนตรง  ค้อมตัวไหว้ตามระดับของผู้ส่งของ ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า  ลงเข่าซ้าย  รับส่งของ  ถอยเท้าขวากลับ  ยืนตรง  ถอยพอประมาณ จึงหันหลังกลับ  ถ้าเป็นสิ่งของหนักให้รับด้วยมือขวาแล้วใช้มือซ้ายช่วยประคอง  ผู้หญิง   เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ ยืนตรง   ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า ลงเข่าซ้าย  เปิดส้นเท้าขวาเล็กน้อยพร้อมกับไหว้ตามระดับผู้ส่งของ  รับสิ่งของด้วยมือขวา  มือซ้ายแนบลำตัว  ถอยเท้าขวากลับ  ยืนตรง  ถอยพอประมาณ จึงหันหลังกลับ   ถ้าเป็นสิ่งของหนักให้รับด้วยมือขวาแล้วใช้มือแล้วใช้มือซ้ายช่วยประคอง       
               1.3 การรับสิ่งสิ่งของขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น ชายและหญิงปฏิบัติ เหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณหรืออาวุโสมาก ให้เดินเข่าไปใกล้ผู้ใหญ่พอประมาณ นั่งพับเพียบขาขวาทับขาซ้าย กราบผู้ใหญ่ 1 ครั้ง แล้วรับสิ่งของ วางสิ่งของเยื้องเข่าขวาเล็กน้อย ถ้าผู้ใหญ่ปราศรัยด้วยก็ให้นั่งในลักษณะสำรวมเสร็จแล้วกราบอีก 1 ครั้ง ถือสิ่งของเดินเข่าถอยพอประมาณลุกขึ้น ถอยพอประมาณจึงหันหลังกลับ

          2. การส่งสิ่งของ
               1. การส่งสิ่งของขณะผู้ใหญ่ยืน ผู้ชาย ถือ ของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ ยืนตรงคำนับ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย ส่งสิ่งของเสร็จแล้ว ถอยเท้าขวากลับ ยืนตรงคำนับ 1 ครั้ง ถอยพอประมาณ จึงหันหลังกลับ อีกแบบหนึ่ง ถือสิ่งของเดินเข้าไปห่างผู้ใหญ่พอประมาณ  ยืนตรง  ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า  พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย ส่งสิ่งของแล้วถอยเท้าขวากลับ  แสดงความเคารพด้วยการไหว้  1 ครั้ง  แล้วถอยพอประมาณ  จึงหันหลังกลับ  ผู้หญิง  เดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ  ยืนตรง  ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวเล็กน้อย ส่งสิ่งของ  ไหว้ในขณะที่ย่อตัวอยู่  แล้วถอยเท้าขวากลับ  ยืนตรง  ถอยพอประมาณ  จึงหันหลังกลับ

                                       ถือสิ่งของ ยืนตรง คำนับ             ก้าวเท้าขวา ส่งสิ่งของ               ถอยเท้า ยืนตรง คำนับ

               2. การส่งสิ่งของขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ ผู้ชาย ถือสิ่งของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ ยืนตรง ก้าวเท้าขวาลงเข่าซ้ายส่งของเสร็จแล้วถอยเท้าขวากลับพร้อมกับลุกขึ้นยืนตรง ไหว้  1 ครั้ง ถอยพอประมาณ จึงหันหลังกลับ  ผู้หญิง ถือ ของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณ ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า ลงเข่าซ้ายส่งสิ่งของ ไหว้  ขณะลงเข่า  เสร็จแล้วยืนตรง  ถอยพอประมาณ  จึงหันหลังกลับ
              3. การส่งสิ่งของขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น ชายและหญิงปฏิบัติ เหมือนกัน ให้ผู้ที่เข้าไปส่งของเดินเข่า ถือสิ่งของเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณนั่งพับเพียบขาขวาทับขา (ให้หัวเข่าซ้ายตรงกับผู้ใหญ่) วางสิ่งของเยื้องเข่าขวาเล็กน้อย แล้วกราบผู้ใหญ่ ๑ ครั้ง (ไม่แบมือ)  ส่งของให้ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ปราศรัยด้วยก็ให้นั่งลักษณะสำรวม เมื่อจะลากลับกราบอีก 1 ครั้ง ถอยโดยวิธีเดินเข่า ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณลุกขึ้นยืน จึงหันหลังกลับ



การประเคนของแด่พระสงฆ์และการรับของจากพระสงฆ์

          1. การประเคนของแด่พระสงฆ์   ถ้าเป็นของที่พอยกได้ใช้ 2 มือยกแล้วประเคนในระยะหัตถบาส ถ้าเป็นของใหญ่เกินกว่าที่จะยกได้ เช่น เรือ รถ  ก็ไม่ต้องยกเพียงกล่าวคำถวายหรือถวายเอกสารประกอบสิ่งของนั้นก็พอแล้ว  วิธีการประเคนของชายและหญิงปฏิบัติดังนี้ 
               1.1 กรณีพระสงฆ์นั่งกับพื้นถือของเดินเข่าเข้าไปได้ระยะหัตถบาส  (คำว่า หัตถบาส แปลว่า "บ่วงมือ" หมายถึง ระยะระหว่างผู้รับประเคนและผู้ถวายไม่เกิน 1 ศอก)  แล้วยกของขึ้นประเคน ผู้ชายจะประเคนของแด่พระสงฆ์ในลักษณะมือต่อมือได้เลย ผู้หญิงจะ ต้องวางบนผ้าที่พระสงฆ์ทอดออกมา จะไหว้หรือกราบแล้วแต่กาลเทศะ ถอยโดยวิธีเดินเข่า เมื่อห่างพอประมาณค่อยลุกขึ้นหันตัวกลับ
               1.2 กรณีพระสงฆ์นั่งบนเก้าอี้หรืออาสน์สงฆ์ไม่ต้องเดินเข่า แต่เข้าไปให้ได้ระยะหัตถบาส และประเคนตามวิธีดังกล่าวข้างต้น ถ้ามีของถวายหลายอย่าง ควรประเคนทีละอย่าง แต่ถ้ามีถาดหรือภาชนะใส่ไว้แล้วก็ประเคนทั้งถาดหรือภาชนะ  

การประเคนสิ่งของแด่พระภิกษุ

          2. การรับสิ่งของจากพระภิกษุ  ให้เข้าไปใกล้ในระยะพอประมาณ  แล้วแสดงความเคารพ  ผู้ชายให้ยื่นมือรับสิ่งของ  ผู้หญิงให้เอื้อมมือขวารับของที่พระภิกษุวางไว้ตรงหน้าด้วยอาการสำรวม



การรับประทานอาหาร

          1. ถ้านั่งบนเก้าอี้  ให้นั่งตัวตรง  ไม่เท้าศอกบนโต๊ะอาหาร  ถ้านั่งกับพื้น หญิงนั่งพับเพียบ  ผู้ชายนั่งท่าถนัดที่สุภาพ   ตัวตรง  ไม่เท้าแขนกับพื้น
          2. ถ้ามีผู้ใหญ่ร่วมรับประทานอาหารให้นั่งรอท่านก่อน  และให้ท่านลงมือรับประทานอาหารก่อนจึงรับประทานตาม
          3. การรับประทานอาหารร่วมโต๊ะให้ใช้ช้อนกลาง  ไม่ควรหยิบสิ่งของข้ามหน้าผู้อื่น  ควรให้ผู้อยู่ใกล้หยิบให้และกล่าวขอบคุณ
          4. รับประทานอาหารด้วยอาการสุภาพ  ไม่มูมมาม  ไม่เคี้ยวอาหารเสียงดัง  ไม่คุยขณะอาหารยังอยู่ในปาก
          5. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จให้รวบช้อนส้อม  ไม่แสดงอาการอิ่มด้วยการผลักจานออกจากตัว



การแสดงกิริยาอาการ

          1. การทักทาย  มารยาทของสังคมไทยมักทักทายกันด้วยการแสดงความเคารพ  เช่น  การยกมือไหว้ผู้อาวุโส  และกล่าวคำว่า  สวัสดี  ผู้หญิง  "สวัสดีค่ะ"   ผู้ชาย  "สวัสดีครับ"   ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสังคมไทยที่ควรอนุรักษ์
          2. การสนทนา  ใช้ถ้อยคำที่สุภาพเรียบร้อย  มีคำลงท้ายว่า  ครับ  ครับผมไม่ควรสนทนาด้วยถ้อยคำที่ดังจนเกินไป  เพราะอาจรบกวนบุคคลอื่นได้  ใช้คำที่แสดงความเคารพต่อกัน  เช่น  "ครับ"   "ค่ะ"  เราควรใช้คำพูด  ขอบใจ  ขอบคุณ  ขอบพระคุณ  กับผู้ที่มีน้ำใจต่อเรา  ถ้าเพื่อนใช้คำว่า  ขอบใจ  หรือ  ขอบคุณ  และใช้คำพูดว่า  ขอโทษ  เมื่อทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
          3. การใช้คำพูด  ควรใช้ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ  ดังนี้
               3.1 การใช้คำพูดสนทนาและคำสรรพนามกับพระภิกษุให้เหมาะสมกับวัยวุฒิและคุณวุฒิของท่าน  เช่น  หลวงตา  หลวงพ่อ  หลวงพี่  และใช้คำพูดเรียกตนเองด้วยคำสุภาพ  เช่น  กระผม  ดิฉัน  หนู
               3.2 การใช้คำพูดกับผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือ  ควรมีคำนำหน้านามแทนท่านเสมอ  เช่น  คุณพ่อ  คุณแม่  คุณครู  ซึ่งเป็นการให้เกียรติ  และแสดงความเคารพท่าน  และใช้ถ้อยคำสุภาพเรียบร้อย  เช่น  กระผม  ผม  ฉัน  ดิฉัน  หนู
               3.3 การใช้ถ้อยคำกับเพื่อน  พูดจาด้วยถ้อยคำที่สุภาพต่อกัน  ไม่ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายหรือกระด้างต่อกัน




แบบทดสอบระหว่างเรียน