บทเรียนสำเร็จรูปผ่านอินเทอร์เน็ต
กรอบที่ 3
อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศ


จุดประสงค์การเรียนรู้     บอกชื่อและหน้าที่ของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศได้
 
อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญ  ซึ่งควรศึกษาชื่อและหน้าที่  เพื่อเลือกใช้งานได้ถูกต้อง  มีดังนี้
คอมพิวเตอร์ (computer)
        คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้หลายอย่าง  โดยมนุษย์จะเป็นผู้เขียนซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมซึ่งเป็นชุดคำสั่งใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์  แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่งนั้นโดยอัตโนมัติ

คอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี  3 รูปแบบ ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer)
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า เครื่องพีซี  หรือไมโครคอมพิวเตอร์  เป็นคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้งานตามบ้าน  โรงเรียน  หรือสำนักงานทั่วไป
2.คอมพิวเตอร์สมุดพกพาหรือโน้ตบุ๊ก  (notebook Computer)
เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถเหมือนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล  แต่มีขนาดเล็กกว่า  และน้ำหนักเบา  สามารถพกพาไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ ได้สะดวก ทำงานโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่
3. คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือคอมพิวเตอร์มือถือ

คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือคอมพิวเตอร์มือถือ หรือที่เรียกว่า เครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล (PDA) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยแบตเตอรีและเล็กพอที่จะพกพาไปได้ทุกที่ แม้ว่าประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์มือถือจะไม่เท่ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือโน้ตบุ๊ก  แต่คอมพิวเตอร์มือถือก็มีประโยชน์สำหรับการกำหนดการนัดหมาย การเก็บที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงการเล่นเกมต่างๆ คอมพิวเตอร์มือถือบางเครื่องมีประสิทธิภาพสูงกว่านั้น เช่น สามารถใช้โทรศัพท์หรือใช้อินเทอร์เน็ตได้ แทนที่จะใช้แป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์มือถือมีหน้าจอสัมผัสที่คุณสามารถใช้โดยใช้นิ้วมือ หรือ สไตลัส (อุปกรณ์ชี้ที่มีรูปร่างเหมือนปากกา)

 

เครื่องกราดตรวจหรือสแกนเนอร์ (scanner)
        สแกนเนอร์ เป็นอุปกรณ์ที่นำเข้าข้อมูลที่เป็นรูปภาพ หรือข้อความที่อยู่บนสิ่งพิมพ์โดยใช้หลักการสะท้อนแสง  ข้อมูลที่รับเข้ามาจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ  และตีความได้  สามารถเก็บไว้ในหน่วยความจำได้  และผู้ใช้งานสามารถนำรูปภาพหรือข้อความดังกล่าวไปประกอบในแฟ้มข้อมูล  เอกสารที่สร้างจากซอฟต์แวร์ประมวลผลคำหรือแฟ้มข้อมูลงานนำเสนอต่างๆได้

สแกนเนอร์แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ

1. สแกนเนอร์มือถือ (Hand - Held Scanner)
มีขนาดเล็ก ราคาไม่แพงนัก เก็บภาพขนาดเล็กๆ ซึ่งไม่ต้องการความละเอียดมากนัก เช่น โลโก้ ลายเซ็น เป็นต้น
2. สแกนเนอร์ดึงกระดาษ (Sheet - Fed Scanner)
เป็นสแกนเนอร์ที่ใหญ่กว่าสแกนเนอร์มือถือ ใช้หลักการดึงกระดาษขึ้นมาสแกนทีละแผ่น แต่มีข้อจำกัดคือถ้าต้องการสแกนภาพจากหนังสือที่เป็นรูปเล่ม ต้องฉีกกระดาษออกมาทีละแผ่น ทำให้ไม่สะดวกในการสแกน คุณภาพที่ได้จากสแกนเนอร์ประเภทนี้อยู่ในระดับปานกลาง
3.สแกนเนอร์แท่นเรียบ (Flatbed Scanner)
เป็นสแกนเนอร์ที่มีกระจกใสไว้สำหรับวางภาพที่จะสแกน เหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร คุณภาพของงานสแกนประเภทนี้จะดีกว่าสแกนเนอร์แบบมือถือ หรือสแกนเนอร์แบบดึงกระดาษ แต่ราคาสูงกว่าเช่นกัน
ปัจจุบันสแกนเนอร์รุ่นใหม่ๆ มีขีดความสามารถในการใช้งานมากขึ้นทั้งในเรื่องของความเร็ว และความละเอียดของภาพที่ได้จากการสแกน นอกจากนี้ยังสามารถสแกนจากวัตถุอื่นๆ ที่ไม่ใช่กระดาษเพียงอย่างเดียว เช่น วัตถุ 3 มิติ ที่มีขนาดและน้ำหนักที่ไม่มากจนเกินไป หรือแม้กระทั่งฟิล์มและสไลด์ของภาพต้นฉบับเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เลยโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปอัดขยายเป็นภาพถ่ายปกติเหมือนในอดีต
กล้องดิจิทัล (digital camera)
        เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลประเภทรูปภาพ การใช้งานเหมือนกล้องถ่ายรูปทั่วไป  แต่ไม่ต้องใช้ฟิล์มในการบันทึกภาพ  และผู้ใช้สามารถดูผลการถ่ายภาพที่จอภาพได้ทันที  สามารถลบรูปที่ถ่ายไปแล้วและถ่ายใหม่ได้อีก  และสามารถปรับแต่งภาพถ่ายง่ายๆ ได้  เช่น  ถ่ายภาพในเวลากลางคืน  ปรับสี  ย่อขยายภาพ  เป็นต้น เมื่อต้องการย้ายข้อมูลรูปภาพจากกล้องดิจิทัลไปเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องใช้สายเชื่อมต่อระหว่างกล้องกับช่องยูเอสบีที่เครื่องซีพียู หรือถอดเมมโมรีการ์ดออกมาใส่เครื่องอ่าน  แล้วเชื่อมต่อเข้ากับซีพียูด้วยสายยูเอสบีเป็นสื่อกลางในการเคลื่อนย้าย

ประเภทของกล้องดิจิทัล
กล้องดิจิทัลสามารถแบ่งประเภทตามหลักการใช้งาน ได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. กล้องคอมแพค (Compact Digital Camera)
เป็นกล้องถ่ายภาพดิจิทัลเอนกประสงค์ มีโหมดการใช้งานให้เลือกเป็นแบบอัตโนมัติ ตัวกล้องมีขนาดเล็ก
กะทัดรัด พกพาสะดวก น้ำหนักเบา แต่เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ มีระบบเกี่ยวกับการถ่ายภาพให้เลือกใช้อัตโนมัติหลายรูปแบบ เช่น การเลือกโหมดถ่ายภาพบุคคล ภาพวิว ภาพถ่ายขณะเคลื่อนไหว ได้แก่ ถ่ายภาพกีฬา พลุไฟ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติสามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอ กล้องคอมแพคจึงเหมาะสำหรับมือสมัครเล่น และผู้ใช้งานทั่วๆ ไป ที่ต้องการความสะดวกสบาย ใช้งานง่าย


2. กล้อง Dslr Like
เป็นกล้องที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้มือสมัครเล่น และระดับกลาง กล้องชนิดนี้ยังคงเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่ต่างจากกล้องคอมแพคธรรมดาตรงที่รูปลักษณ์ ขนาดจะใหญ่กว่า น้ำหนักมากกว่า มีรูปทรงเหมือนกับกล้องถ่ายรูปแบบ D-SLR ส่วนโหมดการทำงานจะเป็นแบบผสม ทั้งผู้ใช้สามารถตั้งค่าเอง และโหมดสำเร็จรูปเหมือนกล้องคอมแพค


3. กล้อง D-SLR (Digital Single Lens Reflex Camera)
เป็นกล้องที่เหมาะสำหรับมืออาชีพและมีราคาแพง ตัวเลนส์สามารถถอดเปลี่ยนได้ ใช้การมองผ่านเลนส์จริง คือในขณะที่เล็งภาพโดยใช้ช่องมองภาพนั้น สายตาของเราจะมองผ่านเลนส์ออกไปโดยตรง ทั้งนี้โดยการหักเหของแสงแบบเดียวกับที่ใช้ในกล้องถ่ายภาพแบบ SLR ที่ใช้ฟิล์มนั่นเอง ระบบการทำงานจะยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถปรับเพิ่มเติมได้


อุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบต่างๆ
ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk)
เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากมีความจุข้อมูลสูงและราคาไม่แพง ถือเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหลักที่จำเป็นต้องมีในเครื่องคอมพิวเตอร์  มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะกลมเคลือบด้วยแถบแม่เหล็กหลายแผ่นซ้อนกัน  ติดตั้งอยู่ในเคสร่วมกับแผงวงจรหลัก  หน่วยความจำ  และหน่วยประมวลผลกลาง(CPU)   เพื่อบันทึกข้อมูลและโปรแกรม  มีความจุข้อมูลมากกว่าอุปกรณ์บันทึกข้อมูลรูปแบบอื่นๆ  และสามารถเรียกค้นข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว  


แผ่นบันทึกข้อมูล  (Floppy Disk)
ฟลอปปี้ดิสก์  หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ เป็นแผ่นแถบแม่เหล็กบรรจุอยู่ในตลับพลาสติก  แผ่นบันทึกข้อมูลแต่ละแผ่นมีความจุข้อมูลประมาณ 1.44 เมกะไบต์ (megabyte) สามารถใช้บันทึกข้อมูลหรือแก้ไขข้อมูลได้สะดวกรวดเร็ว  ทั้งแฟ้มข้อมูลที่เป็นตัวอักษร  ตัวเลข  ตารางและแผนภูมิ  แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาบันทึกข้อมูลเสียงหรือภาพ  เพราะเป็นอุปกรณ์ที่บันทึกข้อมูลได้น้อย  โดยทั่วไปจึงนิยมใช้แผ่นบันทึกเก็บสำรองแฟ้มข้อมูล  เพื่อพกพาไปใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องอื่น    

การใช้งานแผ่นดิสก์จำเป็นต้องใช้งานควบคู่ไปกับตัวอ่านและตัวเขียนข้อมูลที่เรียกว่า ไดรฟ์ (Drive) หรือ ฟลอปปี้ดิสก์ไดรฟ์ (Floppy Disk Drive) ซึ่งเป็นไดรฟ์ที่ใช้กับฟลอปปี้ดิสก์นั่นเอง



แผ่นซีดี (Compact Disc : CD)
เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีลักษณะภายนอกเป็นวัตถุทรงกลม ทำมาจากแผ่นพลาสติกอะลูมิเนียมเคลือบด้วยสารสะท้อนแสง  มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.75 นิ้ว ด้านที่ใช้บันทึกข้อมูลจะมีสีเป็นสีเงินแวววาวมีความจุข้อมูลได้ประมาณ 600-700 เมกะไบต์ ใช้เก็บข้อมูลประเภทรูปภาพ  ข้อความ  ข่าวสาร เสียง รวมทั้งภาพเคลื่อนไหวไว้ในแผ่น  ซึ่งพร้อมนำมาใช้  และดูได้ทันที  ข้อมูลที่ถูกบันทึกลงในแผ่นซีดี สามารถเรียกใช้งานหรืออ่านได้เพียงอย่างเดียว (Read Only) ไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมหรือลบข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้แล้วได้ เรียกว่า แผ่นซีดีอาร์ (CD-R) แต่ในปัจจุบันมีแผ่นซีดีอาร์ดับบลิว (Compact Disc Rewritable: CD-RW) ที่พัฒนามาจากแผ่น CD-R ซึ่งสามารถลบและแก้ไขข้อมูลที่บันทึกไปแล้วได้  แต่มีราคาแพงกว่า CD-R ทั่วไป 
CD-R
CD-RW
แผ่นดีวีดี (Digital Versatile Disc : DVD) 
เป็นแผ่นพลาสติกกลมเคลือบด้วยสารสะท้อนแสงเช่นเดียวกับซีดีรอม  เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่นิยมนำมาใช้บันทึกภาพยนตร์ซึ่งมีข้อมูลภาพ เสียง และเพลงจำนวนมาก  เพราะมีความจุสูง แผ่นดีวีดี 1 แผ่นมีความจุข้อมูลสูงถึง 4.7 กิกะไบต์ และ 8.5 กิกะไบต์ (gigabyte) แผ่นดีวีดีมีทั้งแบบบันทึกข้อมูลแล้ว ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ เรียกว่า แผ่นดีวีดีอาร์ (DVD-R) และแผ่นดีวีดีที่สามารถบันทึกข้อมูลได้หลายครั้ง เรียกว่า แผ่น ดีวีดีอาร์ดับบลิว (DVD-RW) 
DVD-R
DVD-RW

        แผ่นซีดี หรือแผ่นดีวีดีจะมี 2 ด้าน ด้านหน้า พิมพ์ด้วยซิลค์สกรีนเป็นชื่อแผ่น ด้านหลังมีลักษณะเป็นสีรุ้งมันวาวซึ่งเป็นส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูล การใช้งานแผ่นซีดี หรือแผ่นดีวีดีต้องใช้ควบคู่กับเครื่องอ่านและเขียนแผ่นซีดีหรือแผ่นดีวีดี โดยเครื่องเล่นซีดี หรือดีวีดี จะอ่านข้อมูลบนแผ่นซีดี หรือแผ่นดีวีดีด้วยแสงเลเซอร์

        การใช้งานแผ่นซีดี หรือแผ่นดีวีดี ต้องใช้งานอย่างถูกวิธี ซึ่งมีการปฏิบัติดังนี้
        1. ขณะจับแผ่นซีดี หรือแผ่นดีวีดีต้องระวังอย่าให้นิ้วมือถูกส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูล เพราะจะทำให้สกปรกและทำให้การอ่านข้อมูลผิดพลาดได้ ดังนั้นการจับแผ่นจึงควรจับเฉพาะริมขอบแผ่น และส่วนกลางแผ่นเท่านั้น
        2. การวางแผ่นซีดี หรือแผ่นดีวีดีบนถาดเครื่องเล่น ต้องวางให้ด้านที่มีชื่อแผ่นอยู่ด้านบน เพื่อให้แสงเลเซอร์ส่องผ่านขึ้นมาเพื่ออ่านข้อมูลด้านล่างของแผ่น

ลักษณะการบันทึกข้อมูลของ
แผ่นซีดีอาร์/แผ่นดีวีดีอาร์
ลักษณะการบันทึกข้อมูลของ
แผ่นซีดีอาร์ดับบลิว/แผ่นดีวีดีอาร์ดับบลิว
  1. บันทึกข้อมูลแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขข้อมูลนั้นได้ แต่สามารถบันทึกข้อมูลได้หลายครั้ง หากยังมีพื้นที่ในแผ่นเหลือ
  2. ไม่สามารถลบข้อมูลเก่าทิ้งได้
  1. สามารถบันทึกข้อมูลได้หลายครั้ง
  2. สามารถลบข้อมูลเก่าทิ้งได้ โดยลบข้อมูลเก่าบางส่วนทิ้ง เพื่อให้มีพื้นที่ว่าง หรือสั่งลบข้อมูลเก่าทั้งหมดในแผ่นให้เป็นแผ่นเปล่า เพื่อบันทึกข้อมูลใหม่ได้


 
หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory)
เป็นอุปกรณ์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้เหมือนฮาร์ดดิสก์  คือ สามารถเขียนและลบข้อมูลได้ตามต้องการ  และเก็บข้อมูลได้แม้ไม่ได้ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์  มีน้ำหนักเบา ขนาดเล็กพกพาได้สะดวก  ความจุข้อมูลของหน่วยความจำแบบแฟลชมีให้เลือกหลายขนาด  ซึ่งขนาดความจุมากจะมีราคาแพงขึ้นตามลำดับ

การใช้งานต้องนำส่วนยูเอสบีของหน่วยความจำแบบแฟลชเสียบที่ช่องพอร์ตยูเอสบีที่ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นรอจนหน้าคอมพิวเตอร์ปรากฏสัญลักษณ์หน่วยความจำแบบแฟลชที่เชื่อมต่อไว้ แล้วจึงบันทึกข้อมูลลงไป

หน่วยความจำแบบแฟลชมีชื่อเรียกหลายอย่าง  เช่น แฮนดีไดร์ฟ (Handy Drive)  ยูเอสบีไดร์ฟ (USB Drive)  ทัมบ์ไดร์ฟ (Thumb drive) เป็นต้น ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตและมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนที่เหมือนกันคือ ยูเอสบี สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์